วันอังคารที่ 25 ตุลาคม พ.ศ. 2554

ซีเอ็นเอ็นรายงานข่าวสถานการณ์น้ำท่วมในไทยวิกฤต

ซีเอ็นเอ็นรายงานข่าวสถานการณ์น้ำท่วมในไทยวิกฤตสุดในรอบ50ปี มีผู้เสียชีวิตเฉียด300คน
สำนักข่าวซีเอ็นเอ็น รายงานเหตุการณ์น้ำท่วมในไทยว่า มียอดผู้เสียชีวิตเลวร้ายที่สุดในรอบ50ปี ตัวเลขเมื่อเช้าวันอาทิตย์อยู่ที่ 297คน เกิดฝนตกหนักรุนแรงต่อเนื่องมานาน 2 เดือน ประชาชน 8 ล้าน 5 แสนคน ใน 61จังหวัด ต่างได้รับความเดือดร้อนเพราะน้ำท่วม
         
กรมอุตุนิยมวิทยา คาดการณ์ว่ายังจะมีฝนตกในบางจังหวัด และในกรุงเทพฯ ส่วนเมืองเก่าอย่างประวัติศาสตร์อย่างอยุธยา หนึ่งในพื้นที่ได้รับผลกระทบหนักที่สุด กองทัพต้องใช้รถบรรทุกทหารแล่นไปตามถนนสายหลักที่ได้กลายเป็นแม่น้ำเพื่อนำความช่วยเหลือไปยังประชาชนที่อยู่ห่างไกล
คนที่มีเรือได้ใช้เป็นพาหนะในการนำของบรรเทาทุกข์ หรือไม่ก็ช่วยเพื่อนบ้านขนทรัพย์สินที่จำเป็นออกจากบ้านที่ถูกน้ำท่วม มีหลายคนใช้แผ่นโฟมอุตสาหกรรมแทนเรือ ส่วนในกรุงเทพฯ ได้มีการขุดลอดคลองและทำคันกั้นน้ำกันอย่างขะมักเขม้นเพื่อป้องกันเมืองหลวง ที่สามโคก ซึ่งอยู่กรุงเทพฯชั้นนอก ตั้งอยู่กึ่งกลางระหว่างแม่น้ำเจ้าพระยาที่กระแสน้ำกำลังเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ และกำแพงน้ำอีกด้านหนึ่งที่สูงประมาณ 2.5 เมตร และกลายเป็นกันชนป้องกันกรุงเทพฯชั้นใน ซึ่งเป็นศูนย์กลางการพาณิชย์อยู่ในขณะนี้ แต่ระดับน้ำก็เพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว
         
ปกติแล้วไทยจะเจอน้ำท่วมทุกปีในช่วงฤดูมรสุม แต่ปีนี้รุนแรงที่สุด คนไทยทั่วประเทศช่วยกันบริจาคอาหาร น้ำดื่ม และเสื้อผ้าช่วยเหลือผู้ประสบภัย โดยเฉพาะในพื้นที่ ที่ได้รับผลกระทบหนักที่สุด ทางการระบุว่า ยอดเงินบริจาคสูงกว่าหลายปีที่ผ่านมามาก โดยได้รับเงินแล้วกว่า 60 ล้านบาท
         
สหรัฐระบุว่า ได้ส่งเฮลิคอปเตอร์จำนวน 26 ลำ ไปช่วยด้านการบรรเทาทุกข์ เนื่องจากถนนหลายสายกลายเป็นแม่น้ำ และไม่สามารถผ่านได้ ส่วนหน่วยงานของสหประชาชาติ ได้เตรียมพร้อมให้ความช่วยเหลือ และองค์การอนามัยโลก ได้เสนอให้ความช่วยเหลือด้านสาธารณสุขเร่งด่วน

โจ๋ 17 ถูกกระสุนปืน ดับปริศนา ใต้ถุนแฟลตดินแดน

     เมื่อ เวลา 05.00 น. ร.ต.อ.นิรภัย ธะกอง พนักงานสอบสวน สน.ห้วยขวาง รับแจ้งเกิดเหตุยิงกันมีผู้เสียชีวิต เหตุเกิดบริเวณใต้แฟลตการเคหะอาคาร 1 แขวงและเขตดินแดง กทม. จึงรุดไปตรวจสอบพร้อม พ.ต.อ.บุญส่ง นามกรณ์ ผกก.สน.ห้วยขวาง เจ้าหน้าที่กองพิสูจน์หลักฐาน แพทย์นิติเวช รพ.รามาธิบดี เจ้าหน้าที่กู้ภัยป่อเต็กตึ้ง

     ที่เกิด
เหตุบริเวณม้านั่งหินอ่อนได้ถุนแฟลตดังกล่าวพบศพนายวราห์ นนท์ภายวัน อายุ 17 ปี อยู่บ้านเลขที่ 2031/73 ถ.ประชาสงค์เคราะห์ แขวงและเขตดินแดง กทม. สภาพศพนอนตะแคงซ้าย สวมเสื้อยืดสีดำ กางเกงยีนส์ขายาวสีดำ มีบาดแผลถูกยิงด้วยอาวุธปืนขนาด .38 เข้าบริเวณขมับขวาทะลุท้ายทอย 1 นัด หัวกระสุนตกอยู่ห่างจากศพประมาณ 3 เมตร เจ้าหน้าที่จึงเก็บไว้เป็นหลักฐาน
ใกล้กันบนโต๊ะหินอ่อนพบร่องรอยการตั้งวงดื่มสุรา ข้าวของหล่นกระจัดกระจาย

     พ.ต.อ.
บุญส่ง กล่าวว่า ผู้ตายเป็นลูกชายของ ด.ต.วัชระ นนท์ภายวัน ผบ.หมู่งานจราจร สน.ห้วยขวาง ก่อนเกิดเหตุเวลา 21.00 น.วันที่ 23 ต.ค.ที่ผ่านมา ผู้ตายได้มาตั้งวงดื่มสุรากับเพื่อน กระทั่งเวลา 05.00 น.ได้เกิดเหตุยิงกัน และพบศพผู้ตายในที่เกิดเหตุ เบื้องต้นเจ้าหน้าที่ฝ่ายสืบสวนได้นำตัวเพื่อนที่ร่วมวงดื่มสุรากับผู้ ตายไปสอบปากคำ จากการสอบสวนพยาน ทราบว่าก่อนเกิดเหตุตั้งแต่ช่วงหัวค่ำได้มีกลุ่มวัยรุ่นซึ่งส่วนใหญ่เป็นลูก ของเจ้าหน้าที่ตำรวจ สน.ห้วยขวาง ประมาณ 5-6 คน ได้มาตั้งวงสุรากันและมีการนำปืนมาเพื่อเล่นรัสเซียนรูเล็ตหรือการใส่กระสุน
ในรังเพลิงเพียงนัดเดียวแล้วหมุนปากกระบอกปืนพลัดกันยิง

     
พ.ต.อ. บุญส่ง กล่าวต่อว่า จนกระทั่งเวลาประมาณ 22.00 น. ผู้ตายได้ลงมาร่วมวงด้วยแต่ถึงคราวเคราะห์ ซึ่งเหตุการณ์ดังกล่าวพบว่าไม่ได้เกิดจากการขัดแย้งจากคู่อริหรือฝ่ายตรง ข้าม ซึ่งหลังเกิดเหตุได้ติดตามตัวมาสอบสวนได้แล้วบางส่วน ส่วนใหญ่ยังเป็นเยาวชนซึ่งทั้งหมดได้ให้การตรงกัน ด้านปืนที่ใช้ก่อเหตุนั้นยังไม่ทราบว่าเป็นของเจ้าหน้าที่ตำรวจหรือไม่ เพราะหลังเกิดเหตุยังไม่พบปืนที่ใช้ก่อเหตุ ส่วนผู้ที่ก่อเหตุยิงนั้นอยู่ระหว่างติดตามตัวคาดว่าคงติดต่อเข้ามอบตัว เร็วๆนี้

คำสารภาพแม่เลี้ยง ฆ่าปาดคอเด็กหญิง 13

คำสารภาพแม่เลี้ยงโหด ลวงฆ่าปาดคอดญ.13 แค้นพ่อมาลงลูกเลี้ยง

สรุปประเด็นข่าวโดยกระปุกดอทคอม
ภาพประกอบจากหนังสือพิมพ์ข่าวสด

หลังเกิดเหตุเพียง 1 วัน ตำรวจก็สามารถตามจับกุม นางอริษา สร้อยสน อายุ 28 ปี แม่เลี้ยงใจร้ายที่ลงมือฆ่าปาดคอ เด็กหญิงหัทยา คำพีระพงษ์ อายุ 13 ปี ลูกเลี้ยง ทิ้งศพหมกคลองในอำเภอบางระกำ จังหวัดพิษณุโลก เอาไว้ได้สำเร็จ ซึ่งเหตุการณ์ครั้งนี้ทำให้คนในครอบครัว "คำพีระพงษ์" หัวใจแทบสลาย ทั้งนี้ สาเหตุเกิดจากในช่วงหลังพ่อเด็กเริ่มมีปัญหาขัดแย้งกับนางอริษา เมื่อทุกอย่างบานปลายสุดท้ายนางอริษาจึงหาโอกาสลวงเด็กหญิงหัทยาไปฆ่า เพื่อประชดสามีให้รู้จักคำว่า "เสียใจ"

ย้อนไปดูเหตุการณ์ครั้งนี้ เกิดขึ้นตอนเช้าวันที่ 7 มิถุนายน ตำรวจ สภ.บางระกำ รับแจ้งเหตุพบศพนักเรียนหญิงถูกฆ่าปาดคอลอยน้ำอยู่ในคลอง จึงรุดไปตรวจสอบที่เกิดเหตุเป็นสระน้ำขนาดใหญ่ พบศพเด็กหญิงหัทยา คำพีระพงษ์ นักเรียนชั้นม.1 โรงเรียนจ่านกร้อง ถูกฆ่าปาดคอทิ้งน้ำ โดยจุดที่พบศพพบคราบเลือดหยดเป็นทาง และยังพบเสื้อนักเรียนของผู้ตายลอยอยู่ในน้ำ

หลังพบศพได้ไม่นาน นายธนาดร คำพีระพงษ์ อายุ 43 ปี พ่อของเด็กหญิงหัทยาได้รุดเดินทางมาดูศพทั้งน้ำตา พร้อมละล่ำละลักเล่าว่า ลูกสาวหายออกจากบ้านไปตั้งแต่ตอนเย็นวันที่ 6 มิถุนายน ที่ผ่านมา โดยตอนเช้าได้เดินทางไปโรงเรียนด้วยรถรับส่งตามปกติ แต่ตอนเย็นไม่ได้กลับบ้าน จึงพยายามตามหาที่บ้านเพื่อนลูกก็ไม่พบ
จนกระทั่งมาพบอีกทีก็กลายเป็นศพไปเสียแล้ว ทั้งนี้ ตำรวจได้สอบปากคำเพื่อนร่วมชั้นเรียนของผู้ตาย ได้ความมาว่า ในวันที่ 6 มิถุนายน ทางโรงเรียนปล่อยนักเรียนกลับบ้านเร็วกว่าปกติ โดยตอนบ่าย 3 โมง มีคนเห็นผู้หญิงขับรถเก๋งฮอนด้าแจ๊ซ สีดำ จำหมายเลขทะเบียนตัวหลัง คือ เลข 7 เป็นคนขับมารับเด็กหญิงหัทยาก่อนหายตัวไป

ตำรวจจึงเช็กหาที่มาที่ไปรถเก๋งคันดังกล่าวทันที จึงรู้ว่าเป็นรถของพ่อเด็กหญิงหัทยานั่นเอง ซึ่งนายธนาดรได้ให้นางอริษาภรรยาคนใหม่ใช้นานแล้ว ตำรวจจึงตามไปยึดรถและควบคุมตัวนางอริษามาสอบปากคำทันที และหลังจากตรวจสอบรถพบว่ามีคราบเลือดติดอยู่ที่เบาะนั่งด้านข้างคนขับ และจากการตรวจสอบร่างกายนางอริษา ยังพบด้วยว่า ที่ซอกเล็บมีคราบเลือดเปื้อนอยู่ จึงควบคุมนางอริษามาดำเนินคดี

โดยนางอริษาให้การรับสารภาพพร้อมกับกล่าวว่าฉันเป็นคนฆ่าเขาเอง ทำเพราะโกรธแค้นที่นายธนาดร ไปให้ความสำคัญกับลูกมากกว่าเมีย ระยะ หลังนายธนาดรกลับมาอยู่กับลูกโดยไม่สนใจฉัน เลยเกิดความน้อยใจลวงลูกสาวนายธนาดรไปฆ่าเพื่อประชด ซึ่งตอนที่กำลังลังเลว่าจะทำอย่างไรเด็กหญิงหัทยาท้าบอกว่าถ้าฆ่าไม่ตาย จะไปฟ้องพ่อ จึงมีปากเสียงกัน ฉันจึงชักมีดที่เตรียมมาปาดคอทันที ก่อนจะหลบหนีและย้อนกลับมาดูศพพร้อมคนอื่นๆ เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น

การจากไปของ ด.ญ.หัทยา สร้างความเศร้าใจให้นางศรีไพร สงวนสิน ผู้เป็นแม่ยิ่งนัก หลังเกิดเหตุนางศรีไพร รุดเข้าให้การกับเจ้าหน้าที่ทั้งน้ำตา บอกรับไม่ได้ที่ต้องเสียลูกสาวไปแบบนี้ โดยนางศรีไพร บอกว่า ก่อนหน้านี้เคยเตือนอดีตสามีตลอด ว่าให้ระวังจะมีปัญหา เพราะในระยะหลังอดีตสามีหอบเสื้อผ้ามาอยู่กับลูกสาวที่บ้าน โดยไม่ยอมกลับไปหานางอริษา เลยอาจทำให้นางอริษาโกรธแค้นจึงไปตีสนิทลูกสาวแล้วลวงไปฆ่า เพื่อให้อดีตสามีรู้จักคำว่าเสียใจ